นวัตกรรมคืออะไร?
สำหรับองค์กร
นวัตกรรมมีความสำคัญมาก นายคริสโตเฟอร์ ฟรีแมน กล่าวไว้ว่า “ ..... ถ้าเราไม่มีการสร้างนวัตกรรมขึ้นมาใหม่
ก็เหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว......... ” หลาย ๆ
องค์กรได้มีการนำเทคโนโลยีและพัฒนานวัตกรรมจนทำให้ประสบความสำเร็จในปัจจุบันดังตัวอย่าง
นวัตกรรม
มีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินคือ Innovare ซึ่งหมายถึง
“การทำสิ่งใหม่ขึ้นมา” การประดิษฐ์
(Invention)
มีความหมายที่แตกต่างจากนวัตกรรม เพราะการประดิษฐ์
จะมีความหมายที่เน้นเฉพาะในแง่ของการประดิษฐ์ขึ้นมาเท่านั้น
อาจจะประสบความสำเร็จในทางธุรกิจหรือไม่ก็ได้ขึ้นอยู่กับผู้ประดิษฐ์จะมีแนวทางหรือรูปแบบธุรกิจที่จะทำให้การประดิษฐ์นั้นมีการความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ นวัตกรรมนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อองค์กร
บุคคล สังคม และเศรษฐกิจ ดังนั้นมีผู้ให้คำนิยาม สำหรับคำว่า นวัตกรรม หลายแง่มุม
ดังนี้ [1]
1.
นวัตกรรม คือ สิ่งใหม่ เช่น แนวคิด ผลิตภัณฑ์
หรือโครงการที่มีผู้เห็นว่าใหม่สำหรับตน
2.
นวัตกรรม นวัตกรรม คือกระบวนการรับสิ่งใหม่ ๆ เพื่อมาปรับปรุงให้เกิดแก่ตน (บุคคล องค์กรหรือสังคม)
ทั้งในรูปแบบเทคนิควิธีการหรือสิ่งที่จับต้องได้ จนทำให้เกิดนวัตกรรม
3.
นวัตกรรม คือ การคิดค้นและดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา โดยอาศัยความรู้
ความชำนาญที่มีอยู่ในตน (บุคคล
องค์กรหรือสังคม)
และอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ จนทำให้เกิดนวัตกรรม
4.
นวัตกรรม คือ คุณลักษณะของบุคคล
องค์กรหรือสังคมที่มุ่งแสวงหาการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ จนทำให้เกิดนวัตกรรม
5.
นวัตกรรม คือ การเรียนรู้ การผลิต และการใช้ประโยชน์จากความคิดใหม่
เพื่อให้เกิดผลดีทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการกำเนิดผลิตภัณฑ์ การบริการ
กระบวนการผลิตใหม่ การปรับปรุงเทคโนโลยี การแพร่กระจายเทคโนโลยี
และการใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์และเกิดผลพวงทางเศรษฐกิจและสังคม[2]
นวัตกรรมจะเกิดขึ้นได้ ต้องมากจากความรู้ความสามารถของบุคลากรในองค์กรนั้นๆ
เราจะต้องทำให้ทุกคนมีโอกาสในการสร้างนวัตกรรม ซึ่งนวัตกรรมสามารถแบ่งได้เป็น
3 ระดับ คือ
1. Improvement Innovation ที่ทุกคนสามารถคิดได้
ทำได้ที่หน้างานของตนเอง ซึ่งเป็นการส่งเสริมและสร้างฐานความคิดเชิงพัฒนาให้กับทีมงานเริ่มต่อยอด
เชื่อมโยง ทำสิ่งที่ใหญ่ขึ้น
ยกระดับสิ่งที่พัฒนาขึ้นมากจนเห็นความแตกต่าง เช่น นิ้วมหัศจรรย์ของ
บริษัท NOK เป็นต้น
2. Incremental Innovation ส่วนมากจะเกิดจากการต่อยอดความคิด
เชื่อมโยงกระบวนการและเทคโนโลยีมาสร้างเป็นสิ่งใหม่ที่ดีและมีคุณค่ามากกว่าเดิม เช่น การสร้างเทคโนโลยีใหม่ของธุรกิจโทรศัพท์มือถือ
เป็นต้น
3. Break through Innovation
เป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมี ผู้อื่นต้องใช้เวลาตามเรา เป็นการสร้างโอกาสที่เป็นผู้นำในตัวสินค้าหรือบริการ ก่อให้เกิดคุณค่าแก่ลูกค้าและประสบความสำเร็จในตลาดอย่างชัดเจน เช่น Google เป็นต้น
ประเภทของนวัตกรรม
นวัตกรรมสามารถแบ่งออกได้เป็น
2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
1.
นวัตกรรมที่จับต้องได้ (Tangible
Innovation) เป็นนวัตกรรมที่เน้นในส่วนของ
นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ (Product
Innovation) แบ่งได้เป็น
1.1
ผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ (Tangible
product) เป็นนวัตกรรมที่ผู้ผลิตสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาและผู้ใช้สามารถเห็นและสัมผัสได้
เช่น รถยนต์รุ่นใหม่ เครื่องเล่นดีวีดีรุ่นใหม่ โทรศัพท์มือถือระบบใหม่ เป็นต้น
1.2
ผลิตภัณฑ์ที่จับต้องไม่ได้ (Intangible
Product) เป็นบริการ (Service)
ที่ผู้ให้บริการพยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา เช่น การใช้ Internet Banking ของธนาคาร
การขาย Software ทางอินเตอร์เน็ต
เป็นต้น
2. นวัตกรรมที่จับต้องไม่ได้
(Intangible Innovation) เป็นนวัตกรรมที่เน้นในส่วนของ
นวัตกรรมกระบวนการ (Process
Innovation) เพราะทำให้ระบบการทำงานต่าง ๆ
ในองค์กรมีการเปลี่ยนแปลง แบ่งได้เป็น
2.1
นวัตกรรมขบวนการทางเทคโนโลยี (Technological
Process Innovation) เป็นการนำเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ
มาพัฒนาทำให้กระบวนการ และรูปแบบการทำงานในองค์มีการพัฒนามากขึ้น เช่น
การนำหุ่นยนต์ (Robot)
มาใช้ในการผลิตรถยนต์ ธนาคารนำตู้ถอน-ฝากเงินอัตโนมัติ (ATM) มาใช้ เป็นต้น
2.2
นวัตกรรมขบวนการทางองค์กร (Organization
Process Innovation)
เป็นการนำเอาระบบการบริหารงานรูปแบบใหม่เข้ามาพัฒนากระบวนการและขีดความสามารถทางการบริหารองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ระบบ Just In Time(JIT) ของโตโยต้า Six Sigma ของการบินไทย
Balanced Scorecard (BSC)
ของธนาคารกสิกรไทย เป็นต้น
กระบวนการจัดนวัตกรรม
มีขั้นตอนที่สำคัญ
ดังนี้
1. เริ่มจากการที่มีพันธกิจ
เป้าหมาย และวิสัยทัศน์ขององค์กร
ยึดไว้เป็นหลักในการที่จะวิเคราะห์สภาพการณ์และหาแนวทางในการดำเนินงานให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง
2. วิเคราะห์คู่แข่งทางธุรกิจ
เพื่อที่จะสามารถตามได้ทันและสร้างความแตกต่างได้
3. วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก
ดูความต้องการของตลาด สภาพเศรษฐกิจ
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี วัตถุดิบ
หรือผลิตภัณฑ์ที่จะสามารถเข้ามาทดแทนได้ในอนาคต
4. วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน
ดูรูปแบบโครงสร้างขององค์กร การบริหารจัดการที่เป็นอยู่
สถานะทางการเงิน การพัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์
ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นและแผนการดำเนินงาน
5. จากนั้นนำผลการวิเคราะห์มาเป็นปัจจัยในการกำหนดกลยุทธ์และยุทธวิธีที่จะนำไปสู่นวัตกรรมที่ตรงตามพันธกิจและวิสัยทัศน์
6. นำแผนงานและกลยุทธ์ที่วางไว้มาดำเนินการปฏิบัติจริง
7. ประเมินผลการทำนวัตกรรม
โดยเน้นพฤติกรรมของคนในองค์กรที่เปลี่ยนไปว่าเป็นตามที่ต้องการหรือไม่ก่อน
อย่าไปคาดหวังที่ผลเลยมากเกินไป ต้องค่อยๆปรับเปลี่ยนอย่างค่อยเป็นค่อยไป
จากในอดีตจนถึงปัจจุบัน
นวัตกรรมได้เข้ามามีบทบาทต่อความเจริญก้าวหน้าขององค์กรและปัจเจกบุคคล เราสามารถยกตัวอย่างนวัตกรรมที่สำคัญได้ดังต่อไปนี้
1.นวัตกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์
1.1 พลังงานดิบกับพลังงานบริสุทธิ์
จากในอดีตพลังงานมีการใช้จากถ่านหิน น้ำมัน และ
สารอินทรีย์ต่าง ๆ
เช่นแอลกอฮอล์ เป็นต้น มาเป็นพลังงานปรมาณูหรือพลังงานนิวเคลียร์
และจนถึงปัจจุบันที่มีการพัฒนามาเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell)
ซึ่งถือว่าเป็นพลังงานบริสุทธิ์
1.2 การบินส่วนบุคคลกับการบินเชิงพาณิชย์
จากต้นศตวรรษที่ 20 พี่น้องตระกูลไร้ท์ ได้สร้าง
เครื่องบินที่สามารถบินได้เพียง
10 วินาที เป็นระยะทาง 100 หลา
จนปัจจุบันสามารถพัฒนามาเป็นเครื่องบินโดยสารเชิงพาณิชย์หลากหลายบริษัท เช่น บ.
แมกดอนเนล ดักลาส จำกัด บ. โบอิ้ง จำกัด เป็นต้น
1.3 สายพันธุกรรมกับเทคโนโลยีชีวภาพ
จากการที่มนุษย์สามารถเข้าใจความลี้ลับของสาย
พันธุกรรมซึ่งก็คือยีนส์
(Genes) และโครโมโซม
(Chromosome)
ทำให้มีการวิจัยและสามารถพัฒนาสายพันธุ์พืชและสัตว์ ซึ่งเรียกว่า (GMO) หลาย ๆ
องค์กรโดยเฉพาะเอกชนสามารถนำไปสร้างรายได้ให้กับกิจการ
แต่ก็ถูกการคัดค้านกับผู้ที่ยังไม่เห็นด้วยกับการตัดต่อยีนส์หรือโครโมโซม
แต่ที่เป็นประเด็นสำคัญกว่าก็คือการโคลนนิ่ง(Cloning)
สัตว์หรือมนุษย์ ซึ่งยังเป็นหัวข้อที่ยังถกเถียงถึงความถูกต้องทางจริยธรรมหรือไม่
1.4
อิเลคโทรนิคส์กับระบบสารสนเทศ
จากการพัฒนาของวรจรอิเลคโทรนิคส์ในปี ค.ศ.1970
สามารถทำให้มีการพัฒนาเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่เครื่องแรกคือ
Mainframe
ซึ่งมีมูลค่า 20 ล้านบาท ในพื้นที่ห้อง 150 ตารางเมตร
ต้องใช้ระบบหล่อเย็นของเครื่องทำความเย็นขนาด 10 ตัน มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท เพียง
30 ปีผ่านไป เครื่องคอมพิวเตอร์ มีขนาดเล็กลง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สามารถเชื่อมโยงจนเป็นเครือข่ายออกไป โดยเฉพาะเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ดังนั้นนวัตกรรมทางด้านสารสนเทศ จึงเป็นระบบที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการเปลี่ยนแปลงมวลมนุษยชาติ
ภายในระยะเวลาสั้น ๆ สามารถทำให้มีการเปลี่ยนแปลงและมีผลกระทบหลาย ๆ ด้านมากกว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นของโลกที่ผ่านมาในอดีต
2.
นวัตกรรมทางด้านธุรกิจ ได้มีการเกิดขึ้นของธุรกรรมใหม่ ๆ
อย่างหลากหลายและสามารถนำไปประยุกต์ต่อกิจการ
และทำให้เกิดนวัตกรรมของธุรกิจรูปแบบใหม่ (New Paradigm
Business)
ซึ่งปัจจัยที่สำคัญและทำให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาประกอบด้วย
2.1 ระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System) เป็นการประสานเทคโนโลยีทั้งด้าน
ภาพ (Image)
หนังสือ (Text)
เสียง (Voice) เข้าเป็นระบบด้วยกันทำให้มีกิจการสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย
2.2 ระบบการสื่อสารข้อมูล (Data Communication) มีการพัฒนาในช่วงทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษที่ 20
ที่ทำให้การติดต่อสื่อสารมีการพัฒนาไปมากโดยอาศัยเครือข่ายสัญญาณที่สำคัญคือ
ดาวเทียม ไมโครเวฟ สายโทรศัพท์ สายไยแก้วนำแสง ซึ่งทำให้ธุรกรรมต่าง ๆ
สามารถส่งผ่านข้อมูลระหว่างซีกโลกได้ ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
2.3 ระบบฐานข้อมูล (Database System)
เป็นระบบที่ช่วยทำให้องค์กรต่าง ๆ สามารถวางแผนและพัฒนากิจการเพื่อเข้าถึงผู้ที่เกี่ยวข้องมากที่สุด
เช่น ลูกค้า พนักงานในองค์กร หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ระบบฐานข้อมูลจึงเป็นระบบที่กิจการเป็นอันมาก
ในการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา
3.
นวัตกรรมทางด้านการจัดการ ในอดีตการบริหารองค์กรมีการเปลี่ยนแปลงมาตลอด
บางองค์กรก็ประสบความสำเร็จ แต่บางองค์กรก็ล้มเหลว
ซึ่งองค์ประกอบทางด้านการจัดการที่สำคัญประกอบด้วย คน (Man) เครื่องจักร (Machine)
วัตถุดิบ (Material)
เงิน (Money)
ตลาดหรือลูกค้า (Market)
และ การจัดการ (Management)
ปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดต่อการบริการก็คือ คนหรือบุคลากร
เพราะเป็นผู้ที่สร้างสรรค์ให้องค์ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวนั่นเอง
ตารางด้านล่างเป็นตารางที่แสดงถึงนัวตกรรมทางการบริหารที่เปลี่ยนแปลงมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
ช่วงทศวรรษ
|
นวัตกรรมทางด้านการบริหาร
|
ก่อนปี 1960
|
- เน้นคนเป็นเครื่องจักร
เพื่อเป็นแรงงานในการผลิต (ทฤษฎี
X)
- เน้นประสิทธิภาพการทำงานเฉพาะอย่าง (Specialization)
|
1960
|
-
ให้ความสำคัญกับมนุษย์มากขึ้น (ทฤษฎี
y)
-
เน้นประสิทธิภาพการทำงานกับคุณค่าของมนุษย์
|
1970
|
-
การบริหารเชิงมุ่งหวังผล (Management
By Objectives(MBO))
-
เน้นคุณภาพชีวิตการทำงาน (Quality of
Work Life)
|
1980
|
- กลุ่มควบคุมคุณภาพ
(
- เน้นประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน
(Work Productivity)
- กำหนดข้อกำหนดระบบมาตรฐานสากลระหว่างประเทศ (International
Standard Organization (ISO))
- การบริหารการจัดการเชิงคุณภาพรวม
(Total Quality Management
(TQM)) ทำให้เกิดเป็นระบบการบริหารที่มีคุณภาพทั่วทั้งองค์กร
|
1990
|
-
ระบบการเอื้ออำนาจ (Empowerment)
เพื่อเชื่อมโยงการมอบหมายงาย
(Delegation) กับภาวะผู้นำ
(Leadership)
- ระบบรีเอนจิเนียริ่ง
(Reengineering)
เป็นการปรับรื้อระบบใหม่ทั้งองค์กร
-
ระบบองค์กรเรียนรู้ (Learning
Organization) เป็นการทำให้องค์กรมีการ
พัฒนาและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องทั้งเป็นทีมและบุคคลเพื่อทำให้องค์กรพัฒนาในระยะยาวได้
|
ศตวรรษที่ 21
|
-
ระบบการบริหารภูมิปัญญา (Knowledge
Management)
เป็นแนวความคิดทางด้านพัฒนาการเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น
|
ตารางที่
1-1 การเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมทางด้านการบริหาร
ดังนั้น
นวัตกรรม (Innovation)
ด้านต่าง ๆ
ที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมานั้นไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์ที่มีการผลิตเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกหรือสร้างความปลอดภัย
นวัตกรรมด้านธุรกิจที่ช่วยสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้กับองค์กร
หรือนวัตกรรมด้านการบริหารที่ช่วยให้องค์มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการนำแนวความคิดกับการบริหารใหม่
ๆ มาใช้ในองค์กร ทั้งหมดนี้ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงให้ทันสมัยและเข้ากับรูปแบบการดำเนินชีวิตของมนุษย์อย่างต่อเนื่องตลอดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น